หลักการจัดตู้ปลา | |
| 1.ตู้ปลา ที่นิยมมี 2 แบบ 1. แบบทรงกลม 2.ตู้ปลาแบบสี่เหลี่ยม ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ 1.ตู้ปลาแบบมีกรอบ เป็นตู้ปลาแบบรุ่นเก่าทำด้วยกรอบอลูมิเนียมใช้ชันอุดตามรอยรั่วกันน้ำรั่วซึม 2.ตู้ปลาแบบไม่มีกรอบ นำกระจกมาต่อกันโดยใช้กาาวซิลิโคนเป็นตัวประสานเข้าด้วยกัน 2.ฝาปิดตู้ปลา ทำด้วยพลาสติก ช่วยป้องกันการระเหยของน้ำและป้องกันฝุ่นละอองจากภายนอก 3.เครื่องปั๊มอากาศ การใช้เครื่อง 1.ควรติดตังให้สูงกว่าตัวปลา เพื่อให้สะดวกในการดันอากาศ 2.การติดตั้งเครื่องปั๊มอากาศ ควรให้ห่างจากฝุ่นละออง เพราะฝุ่นละอองอาจทำให้เสียหายได้ อุปกรณ์ที่ติดมากับเครื่องปั๊มอากาศ 1.สายออกซิเจน ต้องหาและไม่มีรอยรั่ว 2.หัวทราย มีลักษณะเป็นทรงกลม มีรูพรุน ทำหน้าที่ให้อากาศเป็นฟองฝอยเล็กๆ เพื่อให้ออกซิเจนสามรถละลายน้ำได้ดี 3.ข้อต่อ เป็นตัวแยกอากาศจากเครื่องปั๊มไปในทิศทางที่ต้องการ 4.วาวล์ควบคุม ทำหน้าที่ควบคุมปริมาณอากาศที่ออกมาจากเครื่องปั๊ม ให้ออกมาตามความเหมาะสม 4.ระบบการกรองน้ำ มี 2 แบบ คือ 1.ระบบการกรองภายในตู้ปลา 1.แบบกรองน้ำใต้ทราย ส่วนประกอบ แผ่นกรอง ต้องเหมาะกับลักษณะของตู้ปลา มีรูพรุนเล็กๆ สูงจากพื้ตู้ประมาณ 2-3 ซ.ม. ท่อส่งน้ำ ทำงานร่วมกับแผ่นกรอง สามารถปรับทิศทางของน้ำที่พ่นออกมาให้ได้ตามต้องการได้ สายอากาศ เป็นสายทางเดินอากาศที่ต่อมาจากท่อปั๊ม ระบบการทำงาน เครื่องปั๊มอากาศจะอัดอากาศส่งไปตามสายอากาศที่เชื่อมระหว่างเครื่องปั๊มอากาศกับหัวครอบแผ่นกรองใต้ทราย เมื่ออากาศถูกดันออกมาตามท่อส่งน้ำที่ถูกพ่นออกมาจะไหลเวียนเข้าไปอยู่ใต้แผ่นกรอง ขณะเดียวกันน้ำที่อยู่เหนือแผ่นกรองและพวกสิ่งสกปรกก็จะถูกดูดลงไปแทนที่ ทำให้น้ำใสสะอาดอยู่เสมอ 2.ระบบการกรองแบบกล่องใต้ตู้ ไม่เป็นที่นิยมมากนัก การทำงานคล้ายระบบการกรองน้ำใต้ทราย ต่างกันเพียงระบบการกรองจะมีกล่องแยกต่างหาก ภายในกล่องกรองจะใส่ใยแก้วและถ่านคาร์บอน ข้อดีก็คือ สามารถถอดล้างทำความสะอาดได้ด้วย 2.ระบบการกรองภายนอกตู้ปลา ประสิทธิภาพในการกรองจะเหนือกว่าระบบการกรองที่กล่าวมาแล้ว สามารถกรองเศษอาหารปลา มูลปลา กลิ่น สี ออกนอกตู้ปลาได้ดี อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่กรอง คือ ถ่านคาร์บอน และใยแก้ว 5.พันธุ์ไม้น้ำ หลักในการเลือกมีอยู่ 2 ประการ คือ 1.พิจารณาว่าพันธุ์ไม้พันธุ์นี้ชอบแสงสว่างหรือไม่ 2.พิจารณาว่าพืชชนิดนี้มีความต้องการดินหรือกรวดในการยึดรากหรือไม่ 6.กรวด เป็นวัสดุที่ตกแต่งให้ตู้ปลาดูเป็นธรรมชาติ กรวดที่ควรมีขนาด 3 มม. ไม่ควรละเอียดและหยาบเกินไป 7.น้ำ ควรใช้น้ำกรองหรือน้ำประปาที่ผ่านการกับไว้เพื่อให้คลอรีนระเหยออกไป 8.ตอไม้ ต้องเลือกตอไม้ชนิดแข็งเพราะ ถ้าใช้ตอไม้ชนิดอ่อนจะทำให้ตอไม้เปื่อยยุ่ยและเน่าได้ ซึ่งตอไม้มีประโยชน์ช่วยให้ทัศนียภาพสวยงามดูคล้ายธรรมชาติ ก่อนที่จะนำตอไม้มาประดับตู้ปลาควรต้มน้ำยางที่ตกค้างอยู่ในเนื้อไม้ให้ออกเสียก่อน 9.เปลือกหอย สามารถตกแต่งทัศนียภาพในตู้ปลาของคุณให้ดูเป็นธรรมชาติ ก่อนที่จะนำมาประดับตู้ปลานั้นขอแนะนำให้นำมาแช่น้ำเพื่อให้ความเค็มหายไปเสียก่อน 10.สิ่งประดิษฐ์บางชนิด แผ่นภาพวิว จะประกอบด้วยพันธุ์ไม้นานาชนิด หุ่นพลาสติก อย่าใช้หุ่นพลาสติกที่สีสามารถตกหรือลอกเป็นอันขาดเชียวนะ เพราะอาจทำอันตรายแก่ปลาน้อยๆที่น่ารักของคุณได้ |
วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
หลักการจัดตู้ปลา
วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
เทคนิคการเพาะพันธุ์ปลา
เทคนิคการเพาะพันธุ์ปลา
การเพาะพันธุ์ปลาจะได้รับผลสำเร็จมากน้อยเพียงใด ขึ้นกับปัจจัยดังนี้
9.1 การคัดพ่อแม่พันธุ์ ปลาที่จะนำมาเพาะจะต้องเป็นปลาที่มีไข่แก่แล้วเท่านั้น คือมีรังไข่อยู่ในขั้นพักตัว (Resting Stage) มิใช่ว่าปลาที่มีการตั้งท้องทุกตัว(คือเห็นส่วนท้องขยายออก)จะนำมาใช้เพาะได้ทั้งหมด ผู้เพาะจะต้องรู้จักวิธีการคัดปลาที่มีไข่แก่พร้อมที่จะผสมพันธุ์ ซึ่งส่วนใหญ่จะอาศัยดูจากติ่งเพศ ปลาที่มีไข่แก่จะมีการขยายตัวของติ่งเพศ และส่วนท้องขยายนิ่ม ทั้งนี้จะต้องขึ้นกับประสบการณ์ ความชำนาญ และความช่างสังเกตุของผู้เพาะพอสมควร
9.2 การเลี้ยงพ่อแม่พันธุ์ปลา เนื่องจากปลาสวยงามมักได้รับการเลี้ยงดูเอาใจใส่อย่างดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งมีระบบกรองน้ำที่ดี ทำให้คุณภาพน้ำค่อนข้างดีอยู่ตลอดเวลา ดังนั้นเมื่อแยกปลาไปลงบ่อเพาะ น้ำใหม่ในบ่อเพาะจึงไม่สามารถกระตุ้นให้ปลาวางไข่ได้ เพราะสภาพน้ำในบ่อเลี้ยงและบ่อเพาะไม่มีความแตกต่างกัน ดังนั้นปลาที่จะเตรียมหรือเลี้ยงเพื่อเป็นพ่อแม่พันธุ์ไว้เพาะพันธุ์ ควรจะเลี้ยงไว้ในลักษณะที่คุณภาพน้ำไม่ดีมากนัก เช่น เปลี่ยนเครื่องกรองน้ำเป็นแบบ Box Filter ซึ่งพอช่วยกรองน้ำได้บ้างพร้อมเพิ่มออกซิเจนไปในตัว และงดการถ่ายน้ำก่อนการเพาะประมาณ 1 เดือน จะทำให้ปลามีความรู้สึกว่าสภาพน้ำในบ่อเลี้ยงไม่ดีนัก เพราะจะมีสารประกอบไนโตรเจนที่เกิดจากการหมักหมมและสิ่งขับถ่ายมากขึ้น เมื่อคัดปลาไปลงบ่อเพาะซึ่งเป็นน้ำใหม่มีคุณภาพดีกว่ามาก จะทำให้ปลามีความรู้สึกเหมือนกับการได้รับน้ำใหม่ในช่วงฤดูฝน จึงทำให้ปลาเกิดการวางไข่ได้อย่างง่ายดาย
9.3 วิธีการคัดพ่อแม่พันธุ์ ต้องทำด้วยความระมัดระวัง ให้ปลามีความบอบช้ำน้อยที่สุด และควรงดให้อาหารปลา ก่อนการคัดประมาณ 4 - 6 ชั่วโมง เพื่อป้องกันความผิดพลาดจากการขยายตัวของท้องเนื่องจากปริมาณอาหารที่กินเข้าไป
9.4 การเตรียมบ่อเพาะ จะต้องให้มีความพร้อมที่ปลาต้องการในการวางไข่ให้มากที่สุด เช่น ปลาทอง ปลาคาร์พ ปลาเสือสุมาตรา ปลาเซเป้ ในธรรมชาติจะวางไข่บริเวณผิวน้ำ ในบ่อเพาะจึงควรเตรียมรังลอยใกล้ผิวน้ำ ปลาดุก ปลาแขยง ปลากด ในธรรมชาติจะวางไข่ตามบริเวณพื้นก้นบ่อ ในบ่อเพาะจึงควรเตรียมรังอยู่ก้นบ่อ นอกจากนั้นระดับน้ำในบ่อเพาะสำหรับการเพาะปลาสวยงาม ไม่ควรเกินกว่า 30 เซนติเมตร
9.5 การเพิ่มลม จะให้ลมแรงมากน้อยเพียงใดต้องดูจากพฤติกรรมการวางไข่ในธรรมชาติของปลาแต่ละชนิด ปลาที่ไข่ทิ้งโดยเฉพาะพวกที่มีไข่ครึ่งลอยครึ่งจมจะต้องการลมแรง มีการหมุนเวียนของน้ำยิ่งมากยิ่งดี แต่ปลาที่มีการจับคู่สร้างรังและมีการดูแลรักษาไข่ จะต้องการความสงบไม่ต้องการให้มีการไหลของน้ำ ควรเปิดลมเบาๆเพื่อเป็นการเพิ่มออกซิเจนเท่านั้น
9.6 การเพิ่มน้ำ หากสามารถทำน้ำไหลหรือทำฝนเทียมเลียนแบบธรรมชาติ ก็จะยิ่งทำให้ปลาวางไข่ได้ดีขึ้น และจะมีอัตราการผสมค่อนข้างดีด้วย เพราะการระบายน้ำจะช่วยไล่ความคาวหรือเมือกที่เกิดขึ้นในขณะที่ปลาวางไข่ออกไปด้วย
9.7 การเลือกใช้ฮอร์โมน ถ้าหากเป็นปลาที่จำเป็นต้องฉีดฮอร์โมนกระตุ้น ก็ควรเลือกชนิดฮอร์โมนให้เหมาะสม สำหรับปัจจุบันการใช้ฮอร์โมนสังเคราะห์จะสะดวกและให้ผลดี นอกจากนั้นยังต้องเลือกวิธีการให้เหมาะสมด้วย ต้องศึกษาว่าปลาชนิดใดใช้วิธีการฉีดฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการแพร่พันธุ์วางไข่ได้ และปลาชนิดใดจะฉีดฮอร์โมนเพื่อกระตุ้นการตกไข่ เพื่อจะทำให้สามารถดำเนินการจัดเตรียมบ่อเพาะและอุปกรณ์ต่างๆได้ถูกต้อง
วันอาทิตย์ที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555
การเลี้ยงปลาสวยงาม
การเลี้ยงปลาสวยงามเบื้องต้น
1. ตู้ปลา
ตู้ปลาเป็นอุปกรณ์อันดับแรกเลยที่ควรจะนึกถึงก่อน ตู้ปลาที่นิยมใช้กันในปัจจุบันมี 2 ชนิด
1.1 ตู้กระจกเป็นตู้ที่เป็นที่นิยมสูงของผู้เลี้ยงปลาเพราะหาซื้อง่าย ราคาถูก ทนต่อรอยขูดขีด แต่ตู้กระจกก็ยังมี
ข้อเสียอยู่ที่ หากแตกจะทำให้เกิดอันตรายได้ ถ้ากระจกหนาไปจะทำให้มองเห็นกระจกเป็น สีเขียวอ่อน ๆ ตู้กระจกมีน้ำหนักมากเมื่อขนาดใหญ่ขึ้น
1.2 ตู้อคริลิกเป็นตู้อีกชนิดหนึ่งที่นิยมกัน แต่ส่วนใหญ่ที่ไม่เป็นที่นิยมกันเพราะตู้อคริลิกมีราคาแพงกว่าตู้กระจก
หลายเท่า ไม่ทนทานต่อการขูดขีด หากชำรุดยากต่อการซ่อมบำรุงและดูแลรักษา แต่ตู้อคริลิกมีความใสกว่า
กระจก รูปแบบมักจะสวยกว่าสามารถดัดตามรูปแบบที่ต้องการได้ น้ำหนักเบา ตู้ปลาส่วนมากจะมีความยาว
มากกว่าความสูงเพราะจะมีเนื้อที่ให้ปลาว่ายหรือเพิ่มมุมมองให้กับตู้ปลา
ขนาดตู้กระจกมาตรฐานที่มีจำหน่ายทั่วไป
กว้าง x ยาว x สูง ( นิ้ว ) | ความหนาของกระจก(หุน) | กว้าง x ยาว x สูง(นิ้ว ) | ความหนาของกระจก(หุน) |
24 x12 x15 | 1.5 | 48 x20 x20 | 2 |
30 x16 x18 | 1.5 | 60 x18 x20 | 2 |
30 x18 x18 | 1.5 | 60 x20 x20 | 2 |
36 x16 x18 | 2 | 60 x24 x24 | 3 |
36 x18 x18 | 2 | 60 x24 x30 | 3 |
42 x16 x18 | 2 | 72 x24 x24 | 3 |
42 x18 x18 | 2 | 72 x24 x30 | 3 |
48 x16 x18 | 2 | 84 x24 x24 | 4 |
48 x18 x18 | 2 | 84 x24 x30 | 4 |
2. การจัดวางตู้ปลา
เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องนึกถึงเพราะถ้าวางในที่ตั้งที่ไม่ดีแล้วสิ่งมีชีวิตภายในตู้ปลาของเราอาจเกิดปัญหาได้
- ตั้งที่มุมสงบไม่พุกพล่าน ปลาจะเกิดอาการเครียด ตกใจง่าย ไม่กล้าออกมาว่ายน้ำ อาจเป็นสาเหตุโน้มนำให้ปลาที่
เลี้ยงป่วยได้
- ไม่เกะกะกีดขวางการทำงานอื่น ถ้าตู้ปลาได้รับการกระทบกระเทือนขณะมีน้ำอยู่อาจจะทำให้แตกและได้รับ
อันตรายได้ เพราะกระจกตู้มีภาระที่ต้องรองรับแรงดันของน้ำอยู่แล้ว
- แสงอาทิตย์ จะทำให้มีผลต่อการเกิดตะไคร่ จะทำให้ตู้ปลาที่เราเลี้ยงดูสกปรกแต่ถ้าอุณหภูมิเปลี่ยนแปลงมากใน
รอบวันก็จะทำให้ปลาที่เราเลี้ยงไม่แข็งแรง อ่อนแอติดเชื้อโรคได้ง่าย
3. ความสะดวกในการดูแลรักษา
ความสะดวกในการดูแลรักษาเป็นผล มาจากการเลือกวางตู้ปลา หากวางตู้ปลาในที่เหมาะสมแล้การดปลี่ยนถ่ายน้ำควรใกล้แหล่งทิ้งน้ำเข้า หากเป็นไปไม่ได้ควรใช้อุปกรณ์ต่าง ๆ มาช่วย เช่น สายยาง กระป๋องตักน้ำ ควรให้แหล่งทิ้งน้ำอยู่ต่ำกว่าตู้ปลาจะได้ง่ายต่อการถ่ายน้ำ
4.น้ำ
ส่วนมากการ เลี้ยงปลามักจะใช้น้ำประปามาใส่ตู้ เพราะความสะดวกสบายของผู้เลี้ยงและไม่สามารถหาน้ำจากแหล่งอื่นได้ การจะนำน้ำประปาควรนำน้ำประปาที่รองทิ้งไว้ 1-2 วัน แล้วจึงนำมาใช้เพราะน้ำประปามีน้ำคลอรีนละลายอยู่แต่ความเป็นจริงแล้วน้อยคน ที่จะทำเช่นนั้น ส่วนใหญ่ใช้น้ำประปาโดยตรงเลย ควรที่จะทิ้งไว้เสียก่อน และใช้สารเคมีกำจัดคลอรีน เช่น โซเดียมไทโอซัลเฟต ก่อนนำมาใช้
5. การให้อากาศและการหมุนเวียนน้ำ
5. การให้อากาศและการหมุนเวียนน้ำ
ในตู้ปลาที่มีสิ่งมีชีวิตอย่าง หนาแน่นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องให้อากาศลงไปในตุ้ปลา เพื่อปลาและสิ่งมีชีวิตอื่นได้หายใจด้วยการให้อากาศมี 2 วิธีด้วยกัน
- ใช้เครื่องให้อากาศใต้น้ำ (Air Pump) โดยผ่านท่อลมและมีตัวปล่อยอากาศใต้น้ำ เช่น หัวทราย
- ใช้เครื่องพ่นน้ำขนาดเล็ก โดยให้หลักการให้น้ำหมุนเวียนขึ้นมาสัมผัสอากาศ หรือในเครื่องพ่นน้ำบางรุ่นจะมีท่อ
สำหรับใส่สายลมเพื่อดูดอากาศเข้าไปผสมกับน้ำ แล้วพ่นออกมาเป็นการให้อากาศในตู้ปลาอีกวิธีหนึ่ง
6.แสงสว่าง
โดยทั่วไปการให้แสงสว่างกับตู้ ปลามักจะใช้หลอดฟลูออเรสเซนต์เป็นส่วนใหญ่ เพราะหาซื้อง่ายราคาถูก โดยที่จริงแล้วแสงจากหลอดไฟไม่มีผลโดยตรงต่อการอยู่รอดของปลา แต่เป็นเพียงเพิ่มความสว่างให้ตู้ปลา หลอดบางชนิดทำให้เห็นสีของปลาสวยกว่าสีจริงด้วย และยังทำให้ปลาไม่ตื่นตกใจง่ายถ้าเราให้แสงสว่างเป็นประจำ
7. อุปกรณ์กำจัดของเสีย
การกำจัดของเสียในตู้ปลา เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องใช้ในการเลี้ยงปลา เพราะเป็นไปไม่ได้ที่เราจะเปลี่ยน น้ำให้ปลาทุกวัน แต่ปลาต้องกินต้องถ่ายทุกวันทำให้ของเสียมีปริมาณมากขึ้น ถ้าเราไม่กำจัดมันออก การกำจัดของเสียส่วนมากเราจะใช้ระบบกรองน้ำโดยทั่วไปมักจะเห็นกันอยู่มี 2 แบบ
- กรองใต้ทราย (Sub sand filter) เป็นอุปกรณ์ที่ใช้หลักการให้น้ำผ่านใต้ทรายแล้ว น้ำจะพ่นออกทางท่อเหนือพื้น
ทรายสิ่งสกปรกก็จะติดอยู่ที่พื้นทราย จุลินทรีย์ในทรายก็จะย่อยสลายของเสีย
- การกรองแบบเปียก – แห้ง (Wet & dry filter) เป็นการกรองโดยใช้หลักการโปรยน้ำลงมาโดยมีวัสดุพื้นที่ผิวมาก
เป็นตัวรองรับ โดยผ่านตัวกรองหลาย ๆ ชนิด เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด การโปรยน้ำก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่ ทำให้
เพิ่มอ๊อกซิเจนให้กับตู้ปลาของเรา และการที่น้ำผ่านวัสดุพ้นที่ผิวมากก็จะทำให้น้ำสัมผัสกับพื้นที่ยึดเกาะของ
จุลินทรีย์ที่ทำหน้าที่บำบัดคุณภาพน้ำ ทั้งจุลลินทรีย์ที่ใช้อ๊อกซิเจนและจุลินทรีย์ไม่ใช้อ๊อกซิเจนในการย่อยสลาย
ของเสีย วัสดุเหล่านี้มักพบเห็นทั่วไปเช่น ไบโอบอล ( Bioball ) กรวดปะการัง ฯลฯ
8. อุปกรณ์ตกแต่ง ประดับ
อุปกรณ์เหล่านี้จะเป็นตัวเพิ่มสีสันให้กับตู้ปลาไม่ว่าจะเป็นการเลียนแบบธรรมชาติ หรือที่เป็นจินตนาการของ
ผู้ประดิษฐ์เอง เช่น ก้อนหิน ขอนไม้ ปะการังเทียม ต้นไม้พลาสติก การตกแต่งตู้ปลาด้วยอุปกรณ์ต่าง ๆ นั้นไม่ใช่ว่าเพียง
แค่ความสวยงาม แต่ยังมีประโยชน์ในแง่เป็นที่หลบของปลาอาณาเขตอีกด้วยไม่ควรนำอุปกรณ์ตกแต่งที่อาจจะเป็น
อันตรายต่อปลา เช่นวัสดุที่มีสีละลายน้ำ วัสดุที่เป็นสนิม
9. การจัดวางและการจัดตู้ปลา
เมื่อเราเลือกอุปกรณ์จัดตู้ ปลาแล้วควรที่จะเลือกที่วางให้เหมาะสม คือ ของชิ้นเล็กควรไว้ข้างหน้าควรมีจุดเด่นในตู้ปลา ในตู้ปลาไม่ควรที่จะรกเกิน ไปจนปลามีที่ว่ายน้อยลง สะดวกต่อการนำสวิงลงไปตักปลา เมื่อต้องการนำปลาออกจากตู้
10. การเลือกชนิดของปลา
ควรศึกษาก่อนที่จะเลือกซื้อ ปลาว่าปลาแต่ละชนิดสามารถที่จะเลี้ยงรวมกันได้หรือไม่ กัดกันหรือเปล่าหรือปลาบางชนิดอาจกินปลาเล็กเป็นอาหาร ปลาแต่ละชนิดกินอะไรเป็นอาหาร เช่น
- ปลาที่สามารถอยู่รวมกันไม่กัดกัน เช่น ปลาทอง ปลาเทวดา ปลาหางไหม้ ปลากระดีมุก ฯลฯ
- ปลาที่กินเนื้อเป็นอาหาร เช่น ปลามังกร ปลาออสการ์ ปลาตองลาย ปลาเสือตอ ปลากระทิง ปลาชะโด ฯลฯ
11. อาหารปลาและการให้
อาหารที่สามารถนำมาให้ปลามีหลายชนิดขึ้นอยู่กับชนิดของปลาที่เราจะได้
- ถ้าเป็นอาหารสำเร็จรูปไม่ว่าจะอยู่ในรูปลอยน้ำ จมน้ำ เป็นแผ่น จะสะดวกในการเตรียมและให้แต่ควรระวังเรื่อง
คุณภาพน้ำ ถ้าอาหารเหลือจะทำให้เน่าได้ง่ายจึงควรให้แต่น้อยพอปลากินหมดไม่ควรให้เหลือ ถ้าเหลือควรตักเศษ
อาหารออกก่อนที่จะเน่า
- อาหารมีชีวิต เช่น ลูกน้ำ ไรทะเล ไรน้ำจืด ไส้เดือนน้ำ หนอนนก ลูกกบ ลูกปลา ฯลฯ อาหารเหล่านี้ปลาหลายชนิด
จะชอบกินมากกว่าอาหารสำเร็จรูปเพราะมีความสด คุณค่าทางอาหารสูงกว่าแต่อาหารมีชีวิตมักจะเป็นพาหะและมี
เชื้อโรคมาสู่ปลาที่เราเลี้ยง
- ก่อนที่เราจะให้อาหารมีชีวิตเหล่านี้ ควรทำความสะอาดก่อน เช่น ทำความสะอาด หนอนแดง ไรทะเล ไส้เดือนน้ำ
ด้วยฟอร์มาลีนเจือจาง ประมาณ 300 ppm. แล้วล้างน้ำสะอาดหลาย ๆ ครั้งจนมั่นว่าสะอาดก่อนนำมาให้ปลาที่
เลี้ยงกิน
12. โรคและการรักษา
การเลี้ยงปลาสวยงาม ผู้เลี้ยงควรเอาใจใส่เรื่องสุขภาพของปลาด้วย เมื่อเราเลี้ยงปลาไปนาน ๆ หรือได้ปลามาใหม่ ดูแลรักษาให้ปราศ พยาธิ และโรคติดต่อ โรคที่มักพบทั่วไปของปลาสวยงามเป็นประจำ เช่นโรคจุดขาว โรคเห็บระฆัง โรคเห็บปลา โรคหนอนสมอ โรคหมัดปลา เชื้อรา เมือกขุน โรคตัวด่าง โรคท้องบวม การป้องกันและรักษาโรคหลาย ๆ ชนิด ส่วนใหญ่มักจะรักษาคล้าย ๆ กันเช่น โรคจุดขาว โรคตกเลือด โรคหมัดปลา โรคเห็บระฆัง จะใช้ฟอร์มาลีน 20 – 25
ซีซีต่อน้ำ 1,000 ลิตร โรคเห็บปลา หนอนสมอ มักจะใช้ดิฟเทอแร็ก 0.5 – 0.75 กรัม ต่อน้ำ 1,000 ลิตร ควรเปลี่ยนถ่าย
น้ำและใส่ยาใหม่ เพื่อให้เชื้อโรคหลุดและกำจัดออกจากตัวปลาเร็วยิ่งขึ้น
วันอาทิตย์ที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ปลาสวยงาม
ปลาสวยงาม
ปลาอามาทัส
(ชื่อวิทยาศาสตร์: Hydrolycus armatus) ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง ในวงศ์ปลาฟันสุนัข (Cynodontidae) ในอันดับปลาคาราซิน
รูปร่างคล้ายกับ ปลาสคอมบิรอยด์ (H. scomberoides) มาก ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกันมาก ต่างกันที่ปลาอามาทัสมีครีบทุกครีบเล็กกว่า และมีสีแดง ครีบไขมันสีส้มเข้ม หัวมีขนาดใหญ่กว่าและหักลง ไม่ชี้ขึ้นเหมือนปลาสคอมบีรอยด์ และลำตัวเป็นสีเหลืองทองในปลาขนาดเล็ก แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเงินวาวเมื่อปลามีขนาดใหญ่ขึ้น นอกจากนี้แล้ว จุดเด่นที่สำคัญคืออีกประการหนึ่งคือ เมื่อปลาโตเต็มที่ เขี้ยวคู่ล่างที่กรามล่างจะยาวแหลมออกมาจากปากอย่างเห็นได้ชัดนับว่าเป็นปลา ที่มีฟันเขี้ยวใหญ่และแหลมคมที่สุดสำหรับปลาในวงศ์นี้
ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 60-70 เซนติเมตร ซึ่งก็นับได้อีกว่าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้
มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงในระดับกลางน้ำในปลาวัยเล็ก หากินโดยล่าปลาและกุ้งต่าง ๆ เป็นอาหาร และถึงแม้ว่าจะเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าก็ตาม ก็สามารถใช้ปากและเขี้ยวที่แหลมคมนี้จับและกลืนกินได้
พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำอเมซอนและสาขา, ลุ่มแม่น้ำโอริโนโค รวมถึงแม่น้ำกายอานา
นิยมตกเป็นเกมกีฬา และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามที่ต้องนำเข้าจากอเมริกาใต้ จัดเป็นปลาที่มีราคาสูงชนิดหนึ่ง ในประเทศไทยมีชื่อเรียกปลาอามาทัสในแวดวงปลาสวยงามว่า "อามาทัสหางดำ" ทั้งนี้เพื่อมิให้สับสนกับปลาทาทูเอีย (H. tatauaia) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกันอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความใกล้เคียงกันมาก ยิ่งโดยเฉพาะในปลาขนาดเล็ก ซึ่งปลาทาทูเอียจะถูกเรียกว่า "อามาทัสหางแดง" ทั้งนี้ เมื่อปลาทั้ง 2 ชนิดนี้เมื่อโตขึ้นจึงจะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน กล่าวคือ ปลาอามาทัสจะมีครีบหางเป็นสีดำ ขณะที่ปลาทาทูเอียจะเป็นสีแดง อีกทั้ง การนำเข้าปลาในวงศ์นี้ในระยะแรกเริ่มจะสับสนจะปะปนกันมา ปลาอามาทัสจะถูกปะปนเข้ามาพร้อมกับปลาสคอมบิรอยด์และปลาทาทูเอีย แม้แต่ในต่างประเทศก็พบกรณีเช่นนี้[1] แต่เมื่อเลี้ยงในที่เลี้ยงแล้ว พบว่า ปลาอามาทัสมีนิสัยไม่ขี้ตกใจเหมือนปลาในวงศ์เดียวกันนี้ชนิดอื่น ๆ มีนิสัยที่ดุกว่า และเติบโตได้เร็วกว่า และมีราคาที่แพงกว่า
ปลากระแห
รูปร่างคล้ายกับ ปลาสคอมบิรอยด์ (H. scomberoides) มาก ซึ่งเป็นปลาที่อยู่ในสกุลเดียวกันมาก ต่างกันที่ปลาอามาทัสมีครีบทุกครีบเล็กกว่า และมีสีแดง ครีบไขมันสีส้มเข้ม หัวมีขนาดใหญ่กว่าและหักลง ไม่ชี้ขึ้นเหมือนปลาสคอมบีรอยด์ และลำตัวเป็นสีเหลืองทองในปลาขนาดเล็ก แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเงินวาวเมื่อปลามีขนาดใหญ่ขึ้น นอกจากนี้แล้ว จุดเด่นที่สำคัญคืออีกประการหนึ่งคือ เมื่อปลาโตเต็มที่ เขี้ยวคู่ล่างที่กรามล่างจะยาวแหลมออกมาจากปากอย่างเห็นได้ชัดนับว่าเป็นปลา ที่มีฟันเขี้ยวใหญ่และแหลมคมที่สุดสำหรับปลาในวงศ์นี้
ขนาดเมื่อโตเต็มที่ประมาณ 60-70 เซนติเมตร ซึ่งก็นับได้อีกว่าเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในวงศ์นี้
มีพฤติกรรมชอบอยู่รวมเป็นฝูงในระดับกลางน้ำในปลาวัยเล็ก หากินโดยล่าปลาและกุ้งต่าง ๆ เป็นอาหาร และถึงแม้ว่าจะเป็นปลาที่มีขนาดใหญ่กว่าก็ตาม ก็สามารถใช้ปากและเขี้ยวที่แหลมคมนี้จับและกลืนกินได้
พบกระจายพันธุ์ในแม่น้ำอเมซอนและสาขา, ลุ่มแม่น้ำโอริโนโค รวมถึงแม่น้ำกายอานา
นิยมตกเป็นเกมกีฬา และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามที่ต้องนำเข้าจากอเมริกาใต้ จัดเป็นปลาที่มีราคาสูงชนิดหนึ่ง ในประเทศไทยมีชื่อเรียกปลาอามาทัสในแวดวงปลาสวยงามว่า "อามาทัสหางดำ" ทั้งนี้เพื่อมิให้สับสนกับปลาทาทูเอีย (H. tatauaia) ซึ่งเป็นปลาในสกุลเดียวกันอีกชนิดหนึ่ง ที่มีความใกล้เคียงกันมาก ยิ่งโดยเฉพาะในปลาขนาดเล็ก ซึ่งปลาทาทูเอียจะถูกเรียกว่า "อามาทัสหางแดง" ทั้งนี้ เมื่อปลาทั้ง 2 ชนิดนี้เมื่อโตขึ้นจึงจะเห็นความแตกต่างได้ชัดเจน กล่าวคือ ปลาอามาทัสจะมีครีบหางเป็นสีดำ ขณะที่ปลาทาทูเอียจะเป็นสีแดง อีกทั้ง การนำเข้าปลาในวงศ์นี้ในระยะแรกเริ่มจะสับสนจะปะปนกันมา ปลาอามาทัสจะถูกปะปนเข้ามาพร้อมกับปลาสคอมบิรอยด์และปลาทาทูเอีย แม้แต่ในต่างประเทศก็พบกรณีเช่นนี้[1] แต่เมื่อเลี้ยงในที่เลี้ยงแล้ว พบว่า ปลาอามาทัสมีนิสัยไม่ขี้ตกใจเหมือนปลาในวงศ์เดียวกันนี้ชนิดอื่น ๆ มีนิสัยที่ดุกว่า และเติบโตได้เร็วกว่า และมีราคาที่แพงกว่า
ปลากระแห
ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Barbonymus schwanenfeldii อยู่ในวงศ์ปลาตะเพียน (Cyprinidae) วงศ์ย่อย Cyprininae - Poropunti รูปร่างคล้ายปลาตะเพียนทอง (B. altus) แต่รูปร่างป้อมสั้นกว่า ลำตัวแบนข้าง ส่วนหลังยกสูง หัวค่อนข้างเล็ก ตาโต มีหนวด 2 คู่ที่ริมฝีปาก ปากเล็กอยู่สุดของจะงอยปาก เกล็ดเล็กมีสีเงินวาวเหลือบเหลืองทอง ครีบหลังสีส้มมีแต้มสีดำชัดที่ด้านบนสุด ครีบอื่น ๆ มีสีส้มสดยกเว้นขอบบนของครีบอกและขอบล่างของครีบหางที่มีแถบสีดำยาว มีขนาดประมาณ 15 เซนติเมตร ถึง 25 เซนติเมตร พบอาศัยอยู่เป็นฝูงในแม่น้ำและหนองบึงทุกภาคของประเทศไทย หรือตามหน้าวัดที่อยู่ติดริมแม่น้ำต่าง ๆ โดยมักจะอาศัยอยู่รวมกับปลาตะเพียน (B. gonionotus), ตะเพียนทอง, แก้มช้ำ (Systomus orphoides) หรือปลาในตระกูลปลาตะเพียนชนิดอื่นด้วยกันเสมอ นิยมบริโภคโดยการปรุงสด รมควัน ตากแห้ง ทำปลาร้า ปลาส้ม และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วยกระแห ยังมีชื่ออื่น ๆ อีกว่า "กระแหทอง" หรือ "ตะเพียนหางแดง" ในภาษาอีสานเรียก "ลำปำ" ในภาษาใต้เรียก "เลียนไฟ" ภาษาเหนือเรียก "ปก"
ปลากราย
ปลาน้ำจืดชนิดหนึ่ง มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Chitala ornata อยู่ในวงศ์ปลากราย (Notopteridae) มีปากกว้างมาก มุมปากอยู่เลยขอบหลังลูกตา ในตัวเต็มวัยส่วนหน้าผากจะหักโค้ง ส่วนหลังโก่งสูง ในปลาวัยอ่อนมีสีเป็นลายเสือคล้ายปลาสลาด แต่จะเปลี่ยนเป็นสีเทาเงินและมีจุดกลมใหญ่สีดำขอบขาวที่ฐานครีบก้นตั้งแต่ 3 - 20 ดวง ซึ่งมีจำนวนและขนาดแตกต่างกันออกไปในแต่ละตัว มีขนาดโดยเฉลี่ย 60 ซ.ม. ใหญ่สุดที่พบคือ 1 เมตร หนัดถึง 15 ก.ก.
มัก อาศัยอยู่ในบริเวณที่มีกิ่งไม้ใต้น้ำหรือพืชน้ำค่อนข้างหนาแน่น อยู่รวมกันเป็นฝูงเล็ก อาหารได้แก่ ปลาและสัตว์น้ำขนาดเล็ก พบในแหล่งน้ำทั้งแหล่งน้ำนิ่งและแม่น้ำทั่วประเทศไทย แต่ปัจจุบันพบน้อยลงมาก ปลากรายนับเป็นปลาน้ำจืดอีกชนิดหนึ่งที่คนไทยนิยมบริโภค โดยเฉพาะใช้เป็นวัตถุดิบผลิตทอดมันหรือลูกชิ้น ราคาขายในตลาดจึงสูง ส่วนบริเวณเชิงครีบก้น เรียกว่าเชิงปลากราย ก็เป็นส่วนที่นิยมรับประทานโดยนำมาทอด แม้ว่าเนื้อจะมีก้างมาก แต่ก็เป็นที่นิยมเพราะมีรสชาติอร่อย นอกจากใช้เป็นอาหารแล้ว ยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาเศรษฐกิจ เช่น เลี้ยงในท้องร่องสวน และนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามด้วย ที่เลี้ยง ง่าย อดทน และจะมีราคาแพงยิ่งขึ้นในตัวที่จุดเยอะ หรือตัวที่สีกลายเป็นสีเผือก หรือสีทอง ขาว หรือในตัวที่เป็นปลาพิการ ลำตัวสั้นกว่าปกติ มีชื่อเรียกอื่น เช่น "หางแพน" ในภาษากลาง "ตอง" ในภาษาอีสาน "ตองดาว" ในภาษาเหนือปลากัดภาคกลาง หรือที่นิยมเรียกสั้น ๆ ว่า ปลากัด เป็นปลาน้ำจืดขนาดเล็ก มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Betta splendens อยู่ในวงศ์ Macropodinae ซึ่งอยู่ในวงศ์ใหญ่ Osphronemidae มีรูปร่างเพรียวยาวและแบนข้าง หัวมีขนาดเล็ก ครีบก้นยาวจรดครีบหาง หางแบนกลม มีอวัยวะช่วยหายใจบนผิวน้ำได้โดยใช้ปากฮุบอากาศโดยไม่ต้องผ่านเหงือกเหมือน ปลาทั่วไป เกล็ดสากเป็นแบบ Ctenoid ปกคลุมจนถึงหัว ริมฝีปากหนา ตาโต ครีบอกคู่แรกยาวใช้สำหรับสัมผัส ปลาตัวผู้มีสีน้ำตาลเหลือบแดงและน้ำเงินหรือเขียว ครีบสีแดงและมีแถบสีเหลืองประ ในขณะที่ปลาตัวเมียสีจะซีดอ่อนและมีขนาดลำตัวที่เล็กกว่ามากจนเห็นได้ชัด
ขนาดโตเต็มที่ประมาณ 6 เซนติเมตร พบกระจายอยู่ทั่วไปในแหล่งน้ำนิ่งที่มีขนาดตื้นพื้นที่เล็กทั้งในภาคกลางและภาคเหนือในประเทศไทยเท่านั้น สถานะปัจจุบันในธรรมชาติถูกคุกคามจากสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนไปและสารเคมีที่ตกค้าง
มี พฤติกรรมชอบอยู่ตัวเดียวในอาณาบริเวณแคบ ๆ เพราะดุร้ายก้าวร้าวมากในปลาชนิดเดียวกัน ตัวผู้เมื่อพบกันจะพองตัว พองเหงือก เบ่งสีเข้ากัดกัน ซึ่งในบางครั้งอาจกัดได้จนถึงตาย เมื่อผสมพันธุ์ ตัวผู้จะเป็นฝ่ายก่อหวอดติดกับวัสดุต่าง ๆ เหนือผิวน้ำ ไข่ใช้เวลาฟัก 2 วัน โดยที่ปลาตัวผู้จะเป็นฝ่ายดูแลไข่และตัวอ่อนเอง โดยไม่ให้ปลาตัวเมียเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ปลาทอง
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)